วิธีเลือกอาหารกระป๋องที่ดีต่อสุขภาพและคุ้มค่า

อาหารกระป๋องเป็นทางเลือกที่สะดวกสบายและเก็บรักษาได้นาน แต่การเลือกซื้อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการสูงสุดต้องอาศัยความใส่ใจในรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ 1. ตรวจสอบฉลากโภชนาการ 2. สังเกตส่วนผสม 3. ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ 4. พิจารณาอายุการเก็บรักษา 5. เลือกอาหารกระป๋องที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ 6. สนับสนุนสินค้าคุณภาพจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ 7. พิจารณาความคุ้มค่า 8. ข้อควรระวังเพิ่มเติม การเลือกซื้ออาหารกระป๋องให้ได้ประโยชน์สูงสุด ไม่เพียงช่วยรักษาสุขภาพของคุณและครอบครัว แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและลดปัญหาสุขภาพในระยะยาวได้อีกด้วย อ้างอิง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (2567). วิธีการเลือกซื้ออาหารกระป๋องให้ได้ประโยชน์สูงสุด สืบค้นจาก https://www.thaihealth.or.th/?p=369426 สื่อมัลติมีเดียกรมอนามัย. (2567). คนวัยทำงานควรใส่ใจสุขภาพ. สืบค้นจาก https://multimedia.anamai.moph.go.th/anamai-toons/toon040_work_1/

เคล็ดลับการเลือกกิน ‘แป้ง’ เพื่อหุ่นดีและสุขภาพที่ดี

แป้งเป็นหนึ่งในสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญต่อพลังงานที่ร่างกายต้องการ แต่หลายคนอาจกลัวการกินแป้งเพราะเชื่อว่าจะทำให้อ้วน ความเชื่อนี้อาจไม่ถูกต้องเสมอไป หากเราเลือกแป้งที่เหมาะสมและกินในปริมาณที่พอดี แป้งจะไม่เป็นศัตรูกับน้ำหนักตัวของเรา แต่จะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญซึ่งช่วยให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ แป้งสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ แป้งเชิงซ้อนและแป้งขัดขาว แป้งเชิงซ้อนเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะย่อยช้ากว่าและทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ตัวอย่างของแป้งเชิงซ้อน ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต มันหวาน และธัญพืชเต็มเมล็ด การกินแป้งเชิงซ้อนช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่า ในทางกลับกัน แป้งขัดขาว เช่น ข้าวขาวและขนมปังขาว มักถูกขัดเอาสารอาหารที่มีประโยชน์ออกไป การกินแป้งขัดขาวในปริมาณมากอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง ส่งผลให้ร่างกายสะสมไขมันได้ง่าย อีกหนึ่งวิธีในการกินแป้งให้เหมาะสมคือการควบคุมปริมาณ ควรกินแป้งในสัดส่วนที่เหมาะสมในแต่ละมื้ออาหาร เช่น ให้แป้งอยู่ที่ประมาณหนึ่งในสี่ของจาน และมีโปรตีนและผักเป็นส่วนประกอบหลัก การผสมแป้งกับโปรตีนและไฟเบอร์ เช่น การกินข้าวกล้องกับไก่ย่าง หรือมันหวานกับถั่ว จะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ลดการสะสมไขมัน และทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น นอกจากนี้ การเลือกแป้งจากธรรมชาติ เช่น มันเทศ เผือก และฟักทอง เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากจะให้พลังงานแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ การหลีกเลี่ยงขนมหวานและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลมและขนมอบกรอบ จะช่วยลดการบริโภคแคลอรีส่วนเกินได้ การดูแลสุขภาพไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลิกกินแป้งทั้งหมด แต่เป็นการเลือกแป้งที่เหมาะสมและบริโภคในปริมาณที่พอดี เมื่อรวมกับการออกกำลังกายและการดื่มน้ำให้เพียงพอ … Read more

6 ผลไม้แคลอรีต่ำ น้ำตาลน้อย ตัวช่วยสุขภาพสำหรับเบาหวานและลดน้ำหนัก

การเลือกรับประทานผลไม้ที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้ว่าผลไม้จะมีสารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ แต่หลายชนิดก็มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและน้ำหนักตัวได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำที่สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย และยังช่วยส่งเสริมการลดน้ำหนักอีกด้วย เนื่องจากผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำมักจะมีดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index: GI) อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังให้พลังงานน้อย เหมาะสำหรับการควบคุมน้ำหนักและสุขภาพโดยรวม ผลไม้น้ำตาลน้อยที่ควรเลือก 1. เบอร์รี่ (สตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่) ผลไม้กลุ่มเบอร์รี่เป็นแหล่งของไฟเบอร์สูงและสารต้านอนุมูลอิสระ มีน้ำตาลในปริมาณต่ำ โดยเฉพาะราสป์เบอร์รี่ที่มีน้ำตาลเพียง 4-5 กรัมต่อ 100 กรัม การบริโภคเบอร์รี่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและส่งเสริมสุขภาพหัวใจ 2. แอปเปิ้ลเขียว มีน้ำตาลต่ำกว่าแอปเปิ้ลชนิดอื่น ๆ โดยมีน้ำตาลประมาณ 10 กรัมต่อผลขนาดกลาง อีกทั้งยังมีไฟเบอร์ที่ช่วยให้อิ่มท้องนานและควบคุมความอยากอาหารได้ดี 3. ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำและมีไฟเบอร์สูงมาก ช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดและดีต่อระบบย่อยอาหาร อีกทั้งยังให้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก 4. อะโวคาโด แม้จะเป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง แต่ไขมันในอะโวคาโดเป็นไขมันดีที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และยังมีน้ำตาลต่ำมาก (ประมาณ 1 กรัมต่อ … Read more

โซเดียมมีผลต่อการลดน้ำหนักหรือไม่?

ลดน้ำหนักเป็นกระบวนการที่ต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย ทั้งการควบคุมพลังงานที่รับเข้า การออกกำลังกาย และการดูแลโภชนาการ โดยหนึ่งในสารอาหารที่หลายคนสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนักหรือไม่ก็คือ “โซเดียม” ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่เหมาะสม การกินเค็มหรือการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพหลายด้าน และยังมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วย หลายคนอาจคิดว่าโซเดียมไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อการสะสมไขมัน แต่ในความเป็นจริง การบริโภคเค็มเกินไปสามารถส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการควบคุมน้ำหนักอย่างมาก ผลกระทบของการกินเค็มต่อการเพิ่มน้ำหนัก 1. การกักเก็บน้ำในร่างกาย โซเดียมมีคุณสมบัติในการดึงน้ำเข้าสู่เซลล์ การบริโภคอาหารเค็มมากเกินไปทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้มากขึ้น ส่งผลให้รู้สึกบวมน้ำและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นชั่วคราว แม้น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจะไม่ได้มาจากไขมัน แต่ก็อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและเข้าใจผิดว่าตัวเองน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 2. ความอยากอาหารเพิ่มขึ้น อาหารเค็มมักมีรสชาติที่กระตุ้นความอยากอาหาร ทำให้คุณทานอาหารในปริมาณที่มากกว่าปกติ นอกจากนี้ อาหารที่มีโซเดียมสูงมักเป็นอาหารแปรรูปหรืออาหารจานด่วนที่มีแคลอรีสูง ซึ่งสามารถนำไปสู่การสะสมไขมันและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 3. ผลกระทบต่อฮอร์โมนและระบบเผาผลาญ การบริโภคโซเดียมในปริมาณมากอาจส่งผลต่อความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความหิวและการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งอาจทำให้กระบวนการลดน้ำหนักทำได้ยากขึ้น คำแนะนำในการควบคุมโซเดียม หากคุณต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาน้ำหนักตัวเพิ่มและส่งเสริมสุขภาพที่ดี การลดการบริโภคเค็มเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ แม้ว่าโซเดียมจะไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อการสะสมไขมัน แต่การลดการกินเค็มจะช่วยลดอาการบวมน้ำ ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง และปรับพฤติกรรมการกินให้ดีขึ้น เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงจากวันนี้เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืนในระยะยาว อ้างอิง

อาหารโซเดียมสูง ภัยเงียบที่ต้องระวังเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน

ในปัจจุบันคนไทยบริโภคเกลือและโซเดียมในปริมาณที่มากเกินกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งกำหนดให้ไม่ควรเกิน 5 กรัม หรือ 5,000 มก ต่อวัน หรือประมาณ 1 ช้อนชา แต่ข้อมูลจากการสำรวจพบว่าคนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ยสูงถึง 10-14 กรัมต่อวัน ซึ่งเกินกว่าความต้องการของร่างกายถึงสองเท่า การบริโภคเกลือมากเกินไปเป็นสาเหตุสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases หรือ NCDs) เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ตัวอย่างอาหารที่มีโซเดียมสูงพร้อมปริมาณโซเดียมโดยประมาณ มีดังนี้: เครื่องปรุงรส  เครื่องปรุงรส ปริมาณ ปริมาณโซเดียม เกลือป่น 1 ช้อนชา 2,000 มก. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ 1,350 มก. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ 1,190 มก. ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ 518 มก. น้ำจิ้มไก่ 1 ช้อนโต๊ะ 385 … Read more

การล้างผักและผลไม้เพื่อลดสารพิษตกค้าง ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อสุขภาพที่ดี

ในปัจจุบัน ผักและผลไม้ถือเป็นอาหารสำคัญที่ผู้คนบริโภคเพื่อรับสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ในกระบวนการเพาะปลูก ผักและผลไม้อาจได้รับสารเคมี เช่น สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี หรือยาฆ่าเชื้อรา ทำให้มีสารพิษตกค้างที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ดังนั้น การล้างผักและผลไม้เพื่อลดสารพิษตกค้างก่อนการบริโภคจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับสุขภาพ ทำไมเราต้องล้างผักและผลไม้ให้สะอาด ยาฆ่าแมลงและสารเคมีที่ใช้ในการเกษตรมักถูกใช้เพื่อป้องกันแมลงและเชื้อโรคต่างๆ แต่สารเหล่านี้อาจยังคงตกค้างบนผิวผักและผลไม้ การรับประทานผักและผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น การแพ้สารเคมี หรือความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังในอนาคต การเลือกผักและผลไม้ 1.มีสีสันตามธรรมชาติไม่มีคราบขาวของสารเคมีหรือกลิ่นที่ผิดปกติ 2.มีรอยกัดของหนอนหรือแมลงอยู่บ้าง 3.เลือกผักและผลไม้ตามฤดูกาล การเตรียมผักและผลไม้ก่อนล้าง วิธีล้างผักและผลไม้ ล้างด้วยน้ำธรรมดา *เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการล้างผักและผลไม้จำนวนน้อย ล้างด้วยน้ำส้มสายซู ล้างด้วยโซเดียมไบคาร์บอเนต กรณีใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสำหรับผักและผลไม้ ที่สำคัญ!! อย. ไม่แนะนำให้ล้างผักและผลไม้ด้วยสารละลายน้ำผสมด่านทับทินเนื่องจากตามกฎหมายยังไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร การล้างผักและผลไม้ก่อนบริโภคเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดสารพิษตกค้างและป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพ ควรเลือกวิธีการล้างที่เหมาะสมและใช้เวลาอย่างเพียงพอเพื่อให้มั่นใจว่าผักและผลไม้ปลอดภัยต่อการบริโภค การล้างด้วยน้ำสะอาด การแช่ในน้ำเกลือ น้ำส้มสายชู หรือเบกกิ้งโซดา เป็นวิธีที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณและครอบครัว บทความต้นฉบับ นิตยสารสาระวิทย์ ฉบับที่ 135 เดือน มิถุนายน 2567

ผลกระทบของการบริโภคคาเฟอีนมากเกินไป

การดื่มคาเฟอีนมากเกินไปสามารถนำไปสู่ผลข้างเคียงที่หลากหลาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพกายและจิตใจ คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นที่พบในเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น กาแฟ ชา และเครื่องดื่มชูกำลัง แม้ว่าจะมีประโยชน์ในการเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิ แต่การบริโภคในปริมาณมากเกินไปอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ แม้ว่าคาเฟอีนจะมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่การบริโภคมากเกินไปอาจนำไปสู่ผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อสุขภาพ การระมัดระวังในการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่เหมาะสม และการตระหนักถึงอาการที่เกิดจากการบริโภคคาเฟอีนมากเกินไปเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพที่ดีและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น เมนูกาแฟในร้าน Starbucks เอสเปรสโซ 1 ช็อต มีปริมาณคาเฟอีน 75 มิลลิกรัม หรือ ลาเต้ ปริมาณคาเฟอีน 150 มิลลิกรัม ในแต่ละเมนูจะมีคาเฟอีนที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นควรเลือกดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพของเรา ผลกระทบของการบริโภคคาเฟอีนมากเกินไป ภาวะคาเฟอีนเป็นพิษ (Caffeine Intoxication) การดื่มคาเฟอีนในปริมาณมากเกินไปในระยะเวลาสั้นๆ อาจนำไปสู่ภาวะคาเฟอีนเป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะที่ระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นมากเกินไป อาการที่พบได้รวมถึง หน้าแดง วิงเวียนศีรษะ หงุดหงิด ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก และนอนไม่หลับ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูง กระสับกระส่าย วิตกกังวล ความคิดและการพูดสับสน ปัสสาวะมากผิดปกติ ปวดท้อง และร่างกายขาดน้ำ ภาวะเสพติดคาเฟอีน (Caffeinism) การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณมากๆ … Read more

5 ข้อแนะนำในการดื่มเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน

คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นที่พบในเครื่องดื่มหลากหลายชนิด เช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลม คาเฟอีนช่วยเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิ แต่การบริโภคคาเฟอีนเกินขนาดหรือไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ 5 ข้อแนะนำในการดื่มเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน 1. การบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม 2. หลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอีนก่อนนอน คาเฟอีนสามารถรบกวนการนอนหลับได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนในช่วงเย็นหรือก่อนนอนอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการนอนไม่หลับและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว 3. ตรวจสอบส่วนประกอบของเครื่องดื่ม อ่านฉลากและตรวจสอบปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มเสมอ เครื่องดื่มบางชนิดอาจมีคาเฟอีนมากกว่าที่คาดคิด เช่น ชาเขียว ชาดำ และเครื่องดื่มชูกำลัง 4. หลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอีนร่วมกับแอลกอฮอล์ การบริโภคคาเฟอีนร่วมกับแอลกอฮอล์สามารถทำให้คุณรู้สึกตื่นตัวและไม่ได้รับรู้ถึงผลกระทบของแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจนำไปสู่การดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาดและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ 5. ระมัดระวังสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือผู้หญิงตั้งครร อ้างอิง

ข้อระวังในการบริโภคคาเฟอีน

สารกาเฟอีนหรือคาเฟอีน (Caffeine) เป็นสารที่ร่างกายจะดูดซึมจากทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือดที่มีฤทธิ์ต่อระบบหัวใจและการไหลเวียนของโลหิต คาเฟอีนพบได้ในเครื่องดื่มหลากหลายชนิด เช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลม คาเฟอีนช่วยเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิ แต่การบริโภคคาเฟอีนเกินขนาดหรือไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนั้น ควรทราบข้อควรระวังต่อไปนี้ในการใช้เครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน อาจก่อให้เกิดอันตรายหากได้รับในปริมาณมากและติดต่อกันเป็นประจำ ข้อระวังในการบริโภคคาเฟอีน การบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม สำหรับผู้ใหญ่ การบริโภคคาเฟอีนไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณกาแฟ 4 แก้ว การบริโภคเกินขนาดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น หัวใจเต้นเร็ว หงุดหงิด นอนไม่หลับ และคลื่นไส้ เด็กและวัยรุ่นไม่ควรบริโภคคาเฟอีนเกิน 100 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 แก้วกาแฟ การบริโภคคาเฟอีนเกินขนาดในวัยนี้อาจมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโต การพัฒนา และการนอนหลับ ตัวอย่างเช่น เมนูกาแฟในร้าน Starbucks เอสเปรสโซ 1 ช็อต มีปริมาณคาเฟอีน 75 มิลลิกรัม หรือ ลาเต้ ปริมาณคาเฟอีน 150 มิลลิกรัม ในแต่ละเมนูจะมีคาเฟอีนที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นควรเลือกดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพของเรา ความเครียดและความวิตกกังวล … Read more

วิธีง่ายๆ ในการกินผักให้ครบ 400 กรัมต่อวัน สุขภาพดีเริ่มต้นที่จานอาหารของคุณ

การรับประทานผักให้เพียงพอในแต่ละวันมีความสำคัญอย่างมากต่อสุขภาพ โดยองค์การอนามัยโลกแนะนำให้เราควรบริโภคผักและผลไม้รวมกันอย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นและช่วยป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ แต่สำหรับหลายคน การกินผักให้ได้ปริมาณนี้อาจดูเป็นเรื่องท้าทาย นี่คือเคล็ดลับในการกินผักให้ได้ 400 กรัมใน 1 วัน 1. เริ่มวันด้วยผัก 2. เพิ่มผักในมื้อกลางวัน 3. ทำผักเป็นของว่าง 4. เพิ่มผักในมื้อเย็น 5. เตรียมผักล่วงหน้า 6. ใช้ผักเป็นส่วนประกอบหลัก การรับประทานผักให้ได้ 400 กรัมใน 1 วันไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณมีการวางแผนและเตรียมตัวให้ดี ผักเป็นแหล่งสำคัญของวิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การเพิ่มปริมาณผักในแต่ละมื้อจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากโรคเรื้อรังต่าง ๆ อ้างอิง ThaiSook