อาหารโซเดียมสูง ภัยเงียบที่ต้องระวังเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน

ในปัจจุบันคนไทยบริโภคเกลือและโซเดียมในปริมาณที่มากเกินกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งกำหนดให้ไม่ควรเกิน 5 กรัม หรือ 5,000 มก ต่อวัน หรือประมาณ 1 ช้อนชา แต่ข้อมูลจากการสำรวจพบว่าคนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ยสูงถึง 10-14 กรัมต่อวัน ซึ่งเกินกว่าความต้องการของร่างกายถึงสองเท่า การบริโภคเกลือมากเกินไปเป็นสาเหตุสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases หรือ NCDs) เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ตัวอย่างอาหารที่มีโซเดียมสูงพร้อมปริมาณโซเดียมโดยประมาณ มีดังนี้: เครื่องปรุงรส  เครื่องปรุงรส ปริมาณ ปริมาณโซเดียม เกลือป่น 1 ช้อนชา 2,000 มก. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ 1,350 มก. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ 1,190 มก. ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ 518 มก. น้ำจิ้มไก่ 1 ช้อนโต๊ะ 385 … Read more

การล้างผักและผลไม้เพื่อลดสารพิษตกค้าง ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อสุขภาพที่ดี

ในปัจจุบัน ผักและผลไม้ถือเป็นอาหารสำคัญที่ผู้คนบริโภคเพื่อรับสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ในกระบวนการเพาะปลูก ผักและผลไม้อาจได้รับสารเคมี เช่น สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี หรือยาฆ่าเชื้อรา ทำให้มีสารพิษตกค้างที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ดังนั้น การล้างผักและผลไม้เพื่อลดสารพิษตกค้างก่อนการบริโภคจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับสุขภาพ ทำไมเราต้องล้างผักและผลไม้ให้สะอาด ยาฆ่าแมลงและสารเคมีที่ใช้ในการเกษตรมักถูกใช้เพื่อป้องกันแมลงและเชื้อโรคต่างๆ แต่สารเหล่านี้อาจยังคงตกค้างบนผิวผักและผลไม้ การรับประทานผักและผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น การแพ้สารเคมี หรือความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังในอนาคต การเลือกผักและผลไม้ 1.มีสีสันตามธรรมชาติไม่มีคราบขาวของสารเคมีหรือกลิ่นที่ผิดปกติ 2.มีรอยกัดของหนอนหรือแมลงอยู่บ้าง 3.เลือกผักและผลไม้ตามฤดูกาล การเตรียมผักและผลไม้ก่อนล้าง วิธีล้างผักและผลไม้ ล้างด้วยน้ำธรรมดา *เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการล้างผักและผลไม้จำนวนน้อย ล้างด้วยน้ำส้มสายซู ล้างด้วยโซเดียมไบคาร์บอเนต กรณีใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสำหรับผักและผลไม้ ที่สำคัญ!! อย. ไม่แนะนำให้ล้างผักและผลไม้ด้วยสารละลายน้ำผสมด่านทับทินเนื่องจากตามกฎหมายยังไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร การล้างผักและผลไม้ก่อนบริโภคเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดสารพิษตกค้างและป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพ ควรเลือกวิธีการล้างที่เหมาะสมและใช้เวลาอย่างเพียงพอเพื่อให้มั่นใจว่าผักและผลไม้ปลอดภัยต่อการบริโภค การล้างด้วยน้ำสะอาด การแช่ในน้ำเกลือ น้ำส้มสายชู หรือเบกกิ้งโซดา เป็นวิธีที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณและครอบครัว บทความต้นฉบับ นิตยสารสาระวิทย์ ฉบับที่ 135 เดือน มิถุนายน 2567

ผลกระทบของการบริโภคคาเฟอีนมากเกินไป

การดื่มคาเฟอีนมากเกินไปสามารถนำไปสู่ผลข้างเคียงที่หลากหลาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพกายและจิตใจ คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นที่พบในเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น กาแฟ ชา และเครื่องดื่มชูกำลัง แม้ว่าจะมีประโยชน์ในการเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิ แต่การบริโภคในปริมาณมากเกินไปอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ แม้ว่าคาเฟอีนจะมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่การบริโภคมากเกินไปอาจนำไปสู่ผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อสุขภาพ การระมัดระวังในการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่เหมาะสม และการตระหนักถึงอาการที่เกิดจากการบริโภคคาเฟอีนมากเกินไปเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพที่ดีและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น เมนูกาแฟในร้าน Starbucks เอสเปรสโซ 1 ช็อต มีปริมาณคาเฟอีน 75 มิลลิกรัม หรือ ลาเต้ ปริมาณคาเฟอีน 150 มิลลิกรัม ในแต่ละเมนูจะมีคาเฟอีนที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นควรเลือกดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพของเรา ผลกระทบของการบริโภคคาเฟอีนมากเกินไป ภาวะคาเฟอีนเป็นพิษ (Caffeine Intoxication) การดื่มคาเฟอีนในปริมาณมากเกินไปในระยะเวลาสั้นๆ อาจนำไปสู่ภาวะคาเฟอีนเป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะที่ระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นมากเกินไป อาการที่พบได้รวมถึง หน้าแดง วิงเวียนศีรษะ หงุดหงิด ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก และนอนไม่หลับ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูง กระสับกระส่าย วิตกกังวล ความคิดและการพูดสับสน ปัสสาวะมากผิดปกติ ปวดท้อง และร่างกายขาดน้ำ ภาวะเสพติดคาเฟอีน (Caffeinism) การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณมากๆ … Read more

5 ข้อแนะนำในการดื่มเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน

คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นที่พบในเครื่องดื่มหลากหลายชนิด เช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลม คาเฟอีนช่วยเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิ แต่การบริโภคคาเฟอีนเกินขนาดหรือไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ 5 ข้อแนะนำในการดื่มเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน 1. การบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม 2. หลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอีนก่อนนอน คาเฟอีนสามารถรบกวนการนอนหลับได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนในช่วงเย็นหรือก่อนนอนอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการนอนไม่หลับและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว 3. ตรวจสอบส่วนประกอบของเครื่องดื่ม อ่านฉลากและตรวจสอบปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มเสมอ เครื่องดื่มบางชนิดอาจมีคาเฟอีนมากกว่าที่คาดคิด เช่น ชาเขียว ชาดำ และเครื่องดื่มชูกำลัง 4. หลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอีนร่วมกับแอลกอฮอล์ การบริโภคคาเฟอีนร่วมกับแอลกอฮอล์สามารถทำให้คุณรู้สึกตื่นตัวและไม่ได้รับรู้ถึงผลกระทบของแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจนำไปสู่การดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาดและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ 5. ระมัดระวังสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือผู้หญิงตั้งครร อ้างอิง

ข้อระวังในการบริโภคคาเฟอีน

สารกาเฟอีนหรือคาเฟอีน (Caffeine) เป็นสารที่ร่างกายจะดูดซึมจากทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือดที่มีฤทธิ์ต่อระบบหัวใจและการไหลเวียนของโลหิต คาเฟอีนพบได้ในเครื่องดื่มหลากหลายชนิด เช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลม คาเฟอีนช่วยเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิ แต่การบริโภคคาเฟอีนเกินขนาดหรือไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนั้น ควรทราบข้อควรระวังต่อไปนี้ในการใช้เครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน อาจก่อให้เกิดอันตรายหากได้รับในปริมาณมากและติดต่อกันเป็นประจำ ข้อระวังในการบริโภคคาเฟอีน การบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม สำหรับผู้ใหญ่ การบริโภคคาเฟอีนไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณกาแฟ 4 แก้ว การบริโภคเกินขนาดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น หัวใจเต้นเร็ว หงุดหงิด นอนไม่หลับ และคลื่นไส้ เด็กและวัยรุ่นไม่ควรบริโภคคาเฟอีนเกิน 100 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 แก้วกาแฟ การบริโภคคาเฟอีนเกินขนาดในวัยนี้อาจมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโต การพัฒนา และการนอนหลับ ตัวอย่างเช่น เมนูกาแฟในร้าน Starbucks เอสเปรสโซ 1 ช็อต มีปริมาณคาเฟอีน 75 มิลลิกรัม หรือ ลาเต้ ปริมาณคาเฟอีน 150 มิลลิกรัม ในแต่ละเมนูจะมีคาเฟอีนที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นควรเลือกดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพของเรา ความเครียดและความวิตกกังวล … Read more

วิธีง่ายๆ ในการกินผักให้ครบ 400 กรัมต่อวัน สุขภาพดีเริ่มต้นที่จานอาหารของคุณ

การรับประทานผักให้เพียงพอในแต่ละวันมีความสำคัญอย่างมากต่อสุขภาพ โดยองค์การอนามัยโลกแนะนำให้เราควรบริโภคผักและผลไม้รวมกันอย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นและช่วยป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ แต่สำหรับหลายคน การกินผักให้ได้ปริมาณนี้อาจดูเป็นเรื่องท้าทาย นี่คือเคล็ดลับในการกินผักให้ได้ 400 กรัมใน 1 วัน 1. เริ่มวันด้วยผัก 2. เพิ่มผักในมื้อกลางวัน 3. ทำผักเป็นของว่าง 4. เพิ่มผักในมื้อเย็น 5. เตรียมผักล่วงหน้า 6. ใช้ผักเป็นส่วนประกอบหลัก การรับประทานผักให้ได้ 400 กรัมใน 1 วันไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณมีการวางแผนและเตรียมตัวให้ดี ผักเป็นแหล่งสำคัญของวิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การเพิ่มปริมาณผักในแต่ละมื้อจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากโรคเรื้อรังต่าง ๆ อ้างอิง ThaiSook

GOOD FATS ไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

ไขมันเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารที่ร่างกายต้องการในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่ใช่ไขมันทุกชนิดจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ไขมันที่ดี หรือไขมันไม่อิ่มตัว เป็นไขมันที่มีประโยชน์และสามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพร่างกายได้ ซึ่งแตกต่างจากไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ที่มีแนวโน้มทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ประเภทของไขมันดี ไขมันดีแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fats) และไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fats) ประโยชน์ของไขมันดี แหล่งอาหารที่มีไขมันดี การบริโภคไขมันดีเป็นสิ่งสำคัญต่อการรักษาสุขภาพที่ดี เราควรเลือกบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนและเชิงเดี่ยวให้มากขึ้นแทนการบริโภคไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ การเลือกอาหารที่มีไขมันดีเป็นประจำจะช่วยให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรงและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคไขมันที่ไม่ดี อ้างอิง ThaiSook

รู้หรือไม่ว่า การกินผักผลไม้ให้ครบ 5 สี ดีต่อสุขภาพของเราอย่างไร?

ผักและผลไม้แต่ละสีมีสารอาหารและวิตามินที่แตกต่างกัน การกินผักผลไม้หลากสีสัน เปรียบเสมือนการเติมสีสันให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ ประโยชน์ของการกินผักผลไม้ครบ 5 สี: ตัวอย่างเมนูอาหารครบ 5 สี: การกินผักผลไม้ครบ 5 สี เป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้มีสุขภาพดี ห่างไกลโรค ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้เป็นนิสัย เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว อ้างอิง ThaiSook

การกินจุบจิบระหว่างทำงานอาจส่งผลเสียมากกว่าดีสำหรับวัยทำงาน

การกินจุบจิบระหว่างทำงาน เป็นพฤติกรรมที่หลายคนอาจมองข้าม แต่รู้หรือไม่ว่า การกินแบบนี้อาจส่งผลเสียต่อร่างกายและประสิทธิภาพการทำงานของคุณได้ ผลเสียของการกินจุบจิบระหว่างทำงาน: วิธีการเลี่ยงการกินจุบจิบระหว่างทำงาน: การเลี่ยงการกินจุบจิบระหว่างทำงานอาจจะยากในช่วงแรก แต่หากตั้งใจและฝึกฝนเป็นประจำ รับรองว่าคุณจะสามารถเลิกนิสัยนี้ได้ และส่งผลดีต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานของคุณอย่างแน่นอน อ้างอิง ThaiSook

คาร์โบไฮเดรตกินยังไง ให้มีประโยชน์

ThaiSook I 2566 คาร์โบไฮเดรตคืออะไร? คาร์โบไฮเดรต หรือ คาร์โบไฮเดรต เป็นโมเลกุลของน้ำตาล นอกจากโปรตีนและไขมัน แล้วคาร์โบไฮเดรตยังเป็นสารอาหารหลัก 1 ใน 3 ชนิดที่พบในอาหารและเครื่องดื่มอีกด้วย เมื่อร่างกายทำการย่อยคาร์โบไฮเดรตเป็นกลูโคสเพื่อดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อเป็นพลังงานหลักสำหรับเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะในร่างกาย ส่วนที่เหลือจากการใช้งานต่าง ๆ จะถูกเก็บไว้ในตับและกล้ามเนื้อเพื่อใช้ในภายหลัง คาร์โบไฮเดรตประเภทต่างๆ มีอะไรบ้าง? คาร์โบไฮเดรตมีสามประเภทหลัก: อาหารประเภทไหนที่มีคาร์โบไฮเดรต?อาหารทั่วไปที่มีคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ : อาหารบางชนิดมีคาร์โบไฮเดรตไม่มากนัก เช่น เนื้อ ปลา สัตว์ปีก ชีสบางชนิด ถั่ว และน้ำมัน อ้างอิง ThaiSook I 2566