Body Composition Analysis การวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกายคืออะไร และข้อจำกัดของ BMI

          รู้หรือไม่ !? การใช้ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการวัดความสมส่วนของมวลร่างกายจากน้ำหนักและส่วนสูง แม้ว่าการใช้ดัชนีมวลกาย จะเป็นตัวชี้วัดที่ง่ายและรวดเร็ว แต่มีข้อจำกัดที่สำคัญ คือ ค่าดัชนีมวลกายไม่สามารถบอกได้ว่า น้ำหนักตัวของแต่ละบุคคลมาจาก กล้ามเนื้อ ไขมัน หรือปริมาณน้ำในร่างกาย สิ่งนี้จะทำให้ผู้ที่มีกล้ามเนื้อสูง เช่น นักกีฬา นักกล้าม ก็จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่มีน้ำหนักเกิน หรือมีภาวะเป็นโรคอ้วนได้ และในทางกลับกันผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายปกติ อาจจะมีไขมันในร่างกายสูง (ภาวะผอมแต่ไขมันเกิน) ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคหัวใจ และเบาหวาน ดังนั้น          การวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analysis) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เปอเซ็นต์ไขมันในร่างกาย มวลกล้ามเนื้อ น้ำในร่างกาย ไขมันในช่องท้อง และมวลกระดูก จึงกลายเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการประเมินสุขภาพมากกว่า และช่วยประเมินสุขภาพเชิงลึก แถมยังสามารถวางแผนดูแลสุขภาพเฉพาะคนได้แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วเราจะรู้องค์ประกอบร่างกาย (Body Composition) ของเราได้อย่างไร ?                   ในปัจจุบันมีเครื่องวิเคราะห์มวลร่างกาย (Body Composition Analyzer) ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้สำหรับชั่งน้ำหนัก … Read more

ความสำคัญของการตรวจสุขภาพประจำปี

ทำไมต้องตรวจสุขภาพประจำปี ? การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นการดูแลสุขภาพที่มีประสัทธิภาพ เพราะเป็นการคัดกรองโรคเบื้องต้น และเป็นการหาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหากตรวจพบในระยะเริ่มต้นจะได้รีบดูแลรักษาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ห่างไกลโรคต่าง ๆ ดังนั้นการตรวจสุขภาพประจำปีจึงมีประโยชน์ต่อตัวผู้รับการตรวจ และแพทย์ เพราะช่วยให้มีโอกาสป้องกันและรักษาก่อนที่โรคจะพัฒนาไปมากขึ้น ตรวจสุขภาพประจำปีตรวจอะไรบ้าง ? สำหรับการตรวจสุขภาพโดยรวมเบื้องต้นทั้งเพศหญิงและเพศชาย ประกอบไปด้วย: ตรวจร่างกายทั่วไป เช่น วัดความดัน ดัชนีมวลกาย และสอบถามประวัติสุขภาพ ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) หาความผิดปกติของเลือด ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (FPG) ประเมินความเสี่ยงโรคเบาหวาน ตรวจระดับไขมันในเลือด เช่น คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ตรวจกรดยูริก ประเมินความเสี่ยงโรคเก๊าท์ ตรวจการทำงานของไต เช่น ระดับครีเอตินิน ตรวจการทำงานของตับ ประเมินความผิดปกติของตับและทางเดินน้ำดี ตรวจปัสสาวะ วินิจฉัยโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ ตรวจอุจจาระ ประเมินโรคในระบบทางเดินอาหาร (ขึ้นอยู่กับโรงพยาบาล) ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ประเมินการทำงานของหัวใจ เอกซเรย์ปอด ตรวจความผิดปกติในช่องทรวงอก อัลตราซาวนด์ช่องท้อง ตรวจความผิดปกติของอวัยวะในช่องท้อง ตรวจสุขภาพตา เช่น การมองเห็นและความดันลูกตา การตรวจสุขภาพเพิ่มเติม สำหรับเพศหญิง: ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก การตรวจมะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรก ด้วยการตรวจแปปสเมียร์ (Pap … Read more

6 แนวทางในการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน

การลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ภายในเวลาอันสั้น หากแต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความอดทน ความพยายาม และวินัยในการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง การลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนและปลอดภัยต้องคำนึงถึงการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างสมดุล 6 แนวทางในการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน 1. การตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และยั่งยืน การลดน้ำหนักที่ยั่งยืนควรเริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ เช่น การลดน้ำหนักประมาณ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นอัตราที่ปลอดภัยและเหมาะสม เป้าหมายที่สมเหตุสมผลจะช่วยลดความกดดันและทำให้คุณมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ 2. การควบคุมอาหารด้วยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ การลดน้ำหนักควรเน้นที่การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เช่น 3. การจัดการปริมาณแคลอรี่ การควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่รับประทานเป็นสิ่งสำคัญในการลดน้ำหนัก คุณควรทำการคำนวณแคลอรี่ที่เหมาะสมสำหรับการลดน้ำหนักของคุณและจัดการปริมาณอาหารให้สอดคล้องกับเป้าหมาย แต่ควรหลีกเลี่ยงการลดแคลอรี่ลงมากเกินไป เพราะอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและพลังงาน 4. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเป็นส่วนสำคัญในการลดน้ำหนัก ควรเลือกการออกกำลังกายที่คุณชื่นชอบและทำได้อย่างสม่ำเสมอ 5. การติดตามและปรับเปลี่ยนแผน การติดตามความก้าวหน้าเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณเห็นผลลัพธ์และปรับเปลี่ยนแผนตามความเหมาะสม หากน้ำหนักลดลงช้ากว่าที่คาดไว้ ควรประเมินและปรับเปลี่ยนแผนอาหารและการออกกำลังกายให้เหมาะสม 6. การดูแลสุขภาพจิตใจและการพักผ่อน สุขภาพจิตเป็นส่วนสำคัญในการลดน้ำหนัก การจัดการความเครียดและการนอนหลับเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดโอกาสการเกิดภาวะอ้วนหรือโรคที่เกี่ยวข้อง การลดน้ำหนักที่ยั่งยืนและปลอดภัยไม่ใช่เพียงแค่การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว แต่เป็นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในระยะยาว โดยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างสมดุลควบคู่กันไป นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตและการพักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่อให้สามารถลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืน อ้างอิง

“ขยับแค่ไหนถึงจะพอ” คำแนะนำสำหรับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี

การเคลื่อนไหวร่างกายหรือการออกกำลังกายเป็นส่วนสำคัญในการรักษาสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การทำกิจกรรมทางกายไม่เพียงช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังมีผลดีต่อสุขภาพจิตและการควบคุมน้ำหนัก อย่างไรก็ตาม คำถามที่สำคัญคือ “ขยับแค่ไหน ถึงจะพอ?” การเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้จำกัดเฉพาะการออกกำลังกาย แต่รวมถึงการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันและการทำงานด้วย การทำกิจกรรมเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอช่วยส่งเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดในสมองตีบ โรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ โรคอ้วน โรคมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ การมีพฤติกรรมที่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายและส่งเสริมสุขภาพโดยรวม แนวทางการออกกำลังกายที่เหมาะสม 1. ความเข้มข้นของการออกกำลังกาย สำหรับการออกกำลังกายระดับปานกลาง (Moderate-intensity activity) เช่น เดินเร็ว ขี่จักรยาน หรือทำสวน ควรทำอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ สำหรับการออกกำลังกายระดับสูง (Vigorous-intensity activity) เช่น วิ่ง แอโรบิก หรือกีฬาเข้มข้น ควรทำอย่างน้อย 75 นาทีต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ ควรรวมการออกกำลังกายที่สร้างกล้ามเนื้ออย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ 2. การผสมผสานระหว่างประเภทของการออกกำลังกาย ควรผสมผสานการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic exercise) และการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ (Strength training) เพื่อให้ร่างกายได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ 3. … Read more

ตัวช่วยคนไทยให้สุขภาพดีมีสุขด้วยแอปพลิเคชัน “ไทยสุข”

กลุ่มโรคอันดับหนึ่งที่คร่ำชีวิตคนไทยในปัจจุบันคือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือที่เรียกกันว่า “เอ็นซีดี” (non-communicable diseases) เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โขมันในเลือดสูง ซึ่งแม้ว่าการดำเนินโรคจะเซ็นไปอย่างช้า ๆ ไม่กระโตกกระตาก แต่จริง ๆ แล้วมีการสะสมอาการอย่างต่อเนื่อง แล:ก่อให้เกิดโรคที่รุนแรงขึ้นอย่างโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไตเรื้อร้ง ฯลๆ นำไปสู่การสูญเสี่ย ไม่ว่าจะเสี่ยเวลา เสียเงิน ไปจนถึงเสี่ยชีวิตถ้าถามถึงสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคกลุ่มนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลัก 4 อย่าง คือ ลดอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพิ่มการออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่ และจำกัดการบริโภคแอลกอฮอล์ จะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ประมาณร้อยละ 80 และป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ประมาณ 1 ใน 3 ดังนั้นหากเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรรมการใช้ชีวิตโดยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมพักผ่อนให้พอเพียง ร่วมกับการจดบันทึกและติดตามสุขภาพเป็นประจำ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเหล่านี้ได้ ผู้ที่กำลังวางแผนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อยากออกกำลังกาย อยากดูแลสุขภาพ และอยากได้ผู้ช่วยที่จะมาคอยอำนวยความสะดวกให้แผนการมีสุขภาพดีดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่มีสะดุด กองบรรณาธิการสาระวิทย์มีแอปพลิเคชันผลงานนักวิจัยไทย ดาวน์โหลดง่าย ใช้ฟรี มาแนะนำให้ลองใช้กัน … Read more

ยุ่งจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย? 5 เคล็ดลับเพิ่มกิจกรรมทางกาย

การรักษาสุขภาพที่ดีต้องขึ้นอยู่กับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม แต่ในชีวิตประจำวันที่ต้องทำงานหนักและยุ่งเหยิง บางครั้งการหาเวลาเพื่อออกกำลังกายอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย ดังนั้น เรามีเคล็ดลับ 5 ข้อที่ช่วยเพิ่มกิจกรรมทางกายให้แก่คุณง่ายๆ สามารถทำเองได้ 1. ตั้งเป้าหมายและวางแผน การวางแผนเป้าหมายในการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณมีการจัดการเวลาได้มากขึ้น กำหนดเวลาที่เหมาะสมในแต่ละวันที่สามารถทำกิจกรรมออกกำลังกายได้ เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอนหรือตอนเย็นหลังเลิกงาน 2. ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ ใช้แอพพลิเคชั่นหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัวที่ช่วยให้คุณสามารถออกกำลังกายได้ทุกที่ทุกเวลา เช่น แอพพลิเคชั่นติดตามการเดิน การวิ่งหรือการฟิตเนส หรือนาฬิกาข้อมือที่มีฟังก์ชันตรวจสุขภาพ 3. แบ่งกิจกรรมออกเป็นส่วนย่อย หากคุณไม่สามารถหาเวลาที่ยืดหยุ่นได้ในแต่ละวัน ลองแบ่งกิจกรรมออกเป็นส่วนย่อยที่สั้น ๆ เช่น 10-15 นาที บางครั้งก็เพียงพอที่จะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นและมีพลังงาน 4. เลือกกิจกรรมที่เพลิดเพลิน การเลือกกิจกรรมที่คุณเพลิดเพลินและไม่ใช่ภาระจะช่วยให้คุณมีความกระฉับกระเฉงมากขึ้นในการออกกำลังกาย เช่น การเต้นรำ, โยคะ, หรือการเดินป่า 5. ใช้โอกาสในชีวิตประจำวัน ใช้โอกาสในชีวิตประจำวันให้เป็นโอกาสในการออกกำลังกาย เช่น การเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟท์, การเดินไปยังสถานที่ใกล้เคียงในเวลากลางวัน, หรือการทำงานออกแรงที่ทำให้คุณได้เคลื่อนไหวมากขึ้น การยุ่งจนไม่มีเวลาออกกำลังกายไม่ควรเป็นเหตุผลในการทำให้คุณสูญเสียการดูแลสุขภาพ ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้ คุณสามารถเพิ่มความกระฉับกระเฉงในการออกกำลังกายได้และรักษาสุขภาพที่ดีไปพร้อมกัน อ้างอิง ThaiSook

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพสำหรับวัยทำงาน  แนวทางง่ายๆ เพื่อชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข

การดูแลสุขภาพของวัยทำงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากวัยนี้เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องเผชิญกับความเครียดและการทำงานหนักมากที่สุด การดูแลสุขภาพในวัยนี้จึงไม่ใช่แค่การป้องกันโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างสมดุลในชีวิตประจำวันที่จะช่วยให้คุณสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกด้วย นี่คือคำแนะนำในการดูแลสุขภาพของวัยทำงาน 1. การรับประทานอาหารที่เหมาะสม การรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์เป็นพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี ควรรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบ 5 หมู่ โดยเน้นผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์และน้ำตาลสูง และเลือกอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูง เช่น ปลา ไก่ ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น 2. การออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและรักษาความสมดุลของร่างกาย ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ หรือการออกกำลังกายที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น การยกน้ำหนัก การเล่นโยคะ เป็นต้น 3. การพักผ่อนที่เพียงพอ การนอนหลับให้ได้ 7-9 ชั่วโมงต่อคืนเป็นสิ่งสำคัญต่อการฟื้นฟูร่างกายและสมอง ควรสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการนอน เช่น ห้องที่มืด สงบ และเย็น และควรหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน 4. การจัดการความเครียด ความเครียดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในวัยทำงาน แต่สามารถจัดการได้ด้วยการฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ๆ การนั่งสมาธิ หรือการทำโยคะ นอกจากนี้ยังควรหางานอดิเรกที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น … Read more

มีสุขภาพดีได้ด้วย 3 อ. (อาหาร, ออกกำลังกาย, อารมณ์) สำหรับวัยทำงาน

การมีสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ โดยเฉพาะในวัยทำงานที่ต้องเผชิญกับความเครียดและการทำงานหนัก การดูแลสุขภาพในวัยนี้สามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามหลักการ “3 อ.” ซึ่งประกอบด้วย อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ ดังนี้: 1. อาหาร การรับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์เป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาสุขภาพ ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 2. ออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายและลดความเสี่ยงในการเกิดโรค ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3. อารมณ์ การจัดการอารมณ์และความเครียดเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพจิต ควรหาวิธีผ่อนคลายและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการทำงาน การปฏิบัติตามหลักการ “3 อ.” อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้วัยทำงานมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและทำให้มีความสุขในชีวิตประจำวัน อ้างอิง ThaiSook

สุขภาพดี เริ่มต้นง่ายๆ กับการออกกำลังกายในวัยทำงาน

ในปัจจุบันชีวิตการทำงานเต็มไปดวยความเร่งรีบ ทำให้ละเลยการดูแลสุขภาพ เลยส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย โดยเฉพาะโรคติดต่อไม่เรื้อรัง หรือ NCDs เช่น เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันสะสม เป็นต้น การออกกำลังกายจึงเป็นหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยป้องกัน และชะลอความเสื่อมของร่างกาย ช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดี และแข็งแรงขึ้น ดังนั้นการออกกำลังกายควรออกอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 30 นาทีต่อวัน แบ่งการออกกำลังกายเป็น 3 – 5 ครั้งต่อสัปดาห์ การเลือกออกกำลังกายสำหรับวัยทำงาน ควรเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับความชอบและร่างกายของเรา ในช่วงแรกอาจจะพยายามเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวันต่างๆ ทั้งในที่ทำงาน บ้าน หรือระหว่างการเดินทางให้มากที่สุด จากนั้นค่อยๆ เพิ่มการออกกำลังกายอย่างอื่นเข้ามา เช่น คาร์ดิโอ: เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิค ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ เสริมสร้างระบบหัวใจและหลอดเลือด สร้างกล้ามเนื้อ: ยกน้ำหนัก ดึงข้อ บอดี้เวท ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก ยืดเหยียด: โยคะ พิลาทิส … Read more

กินผักผลไม้ครบ 5 สี สุขภาพดี สดใสทุกวัย

ในปัจจุบันเรามักใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ หลายคนอาจละเลยการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องการกินอาหาร ซึ่งอาจทานอาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารแปรรูป หรืออาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ล้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว การกินผักผลไม้ เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจ เพราะผักผลไม้เป็นแหล่งวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคต่างๆ และช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การกินผักผลไม้ให้ครบ 5 สี เป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน แต่ละสีของผักผลไม้มีสารอาหารและประโยชน์ที่แตกต่างกัน ดังนี้ การกินผักผลไม้ครบ 5 สี ควรทานให้ได้อย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของจานข้าวในแต่ละมื้อ แบ่งเป็นผัก 3 ส่วน ผลไม้ 2 ส่วน จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน ส่งผลดีต่อสุขภาพดังนี้ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรค NCDs บำรุงสายตา ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ผิวพรรณสดใส และรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า อ้างอิง ThaiSook