รู้จักไฟโตนิวเทรียนท์ สารอาหารจากธรรมชาติที่ไม่ควรมองข้าม

ไฟโตนิวเทรียนท์คืออะไร? ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) หรือที่บางคนเรียกว่า ไฟโตเคมิคอล (Phytochemicals) คือ สารประกอบตามธรรมชาติที่พบในพืช เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว และสมุนไพรต่างๆ ซึ่งไม่ใช่สารอาหารหลักเหมือนโปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือไขมัน แต่ก็มีประโยชน์มากต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต่อต้านอนุมูลอิสระ และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายชนิด คำว่า “ไฟโต (phyto)” มาจากภาษากรีก แปลว่า “พืช” นั่นเอง ประเภทของไฟโตนิวเทรียนท์ที่สำคัญ 1. แคโรทีนอยด์ (Carotenoids) 2. โพลีฟีนอล (Polyphenols) 3. ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens) 4. ซัลโฟราเฟน (Sulforaphane) 5. แซพโonin (Saponins) ไฟโตนิวเทรียนท์กับ “สีสันของอาหาร” หนึ่งในวิธีง่ายๆ ในการเลือกกินอาหารที่มีไฟโตนิวเทรียนท์สูง คือ สังเกตจากสีของผักผลไม้ เพราะแต่ละสีมีสารที่แตกต่างกัน เช่น: สีของอาหาร ไฟโตนิวเทรียนท์เด่น ตัวอย่างอาหาร … Read more

เทคนิคการปรับความคิดเพื่อสุขภาพที่ดี ด้วยแนวคิด Cognitive Behavioral Therapy (CBT)

เจาะลึกแนวคิด Cognitive Behavioral Therapy (CBT) และวิธีใช้ปรับความคิดที่เป็นอุปสรรคต่อการดูแลสุขภาพ เช่น “ฉันไม่มีเวลาออกกำลังกาย”

ทำความรู้จักกับ PEDs และ PTSD พร้อมวิธีดูแลตัวเอง และคนรอบตัว หลังเจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญ

         จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยล่าสุด เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และอาจจะสร้างผลกระทบทั้งทางกายภาพและจิตใจ แม้ว่าอาคาร และถนนจะได้รับการซ่อมแซม แต่ความรู้สึกหวาดกลัว และความไม่มั่นคงอาจคงอยู่ในใจของผู้ประสบภัย การทำความเข้าใจภาวะทางจิตใจที่อาจเกิดขึ้น เช่น PEDs (Peri-Traumatic Emotional Distress) และ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) รวมถึงวิธีดูแลตัวเอง และคนรอบข้าง จะช่วยให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ PEDs และ PTSD คืออะไร ?          PEDs (Peri-Traumatic Emotional Distress) คืออาการความเครียดทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นทันที ระหว่างหรือหลัง จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เช่น แผ่นดินไหว ผู้ที่ได้รับผลกระทบอาจมีอาการดังนี้          – รู้สึกกลัวอย่างรุนแรง สับสน หรือช็อก          – ร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้          – หัวใจเต้นแรง มือสั่น หรือเหงื่อออกมาก          – รู้สึกเหมือนเหตุการณ์ยังคงเกิดขึ้นอยู่          อาการเหล่านี้มักจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป และสามารถบรรเทาได้ด้วยการได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์จากคนรอบข้าง          PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) เป็นภาวะที่อาจเกิดขึ้น เป็นระยะเวลานาน หลังจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญผ่านไป โดยมักจะมีอาการต่อเนื่องนานเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ได้แก่          – … Read more

พรีไบโอติกส์คืออะไร? เคล็ดลับสุขภาพดีสำหรับคนไม่กินผัก

พรีไบโอติกส์คืออะไร? พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) คือเส้นใยอาหารประเภทหนึ่งที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถย่อยได้โดยตรง แต่มีบทบาทสำคัญในการเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ (Probiotics) ซึ่งช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้ ส่งเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย พรีไบโอติกส์มีอยู่ในอาหารหลายชนิดและเป็นส่วนสำคัญของอาหารที่ช่วยรักษาสมดุลของระบบทางเดินอาหาร ประโยชน์ของพรีไบโอติกส์ แหล่งของพรีไบโอติกส์ พรีไบโอติกส์พบได้ในอาหารจากธรรมชาติหลายชนิด แม้ว่าคุณจะไม่ชอบกินผัก แต่ก็ยังสามารถได้รับพรีไบโอติกส์จากแหล่งอื่น ๆ เช่น สำหรับคนไม่กินผัก ควรทำอย่างไร? หากคุณไม่ชอบกินผักแต่ต้องการได้รับพรีไบโอติกส์ คุณสามารถทำตามวิธีเหล่านี้: พรีไบโอติกส์เป็นองค์ประกอบสำคัญของสุขภาพลำไส้ที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าคุณจะไม่ชอบกินผักก็ยังสามารถได้รับพรีไบโอติกส์จากอาหารอื่น ๆ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้ การบริโภคพรีไบโอติกส์เป็นประจำช่วยส่งเสริมระบบทางเดินอาหาร ระบบขับถ่าย เสริมภูมิคุ้มกัน และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง ดังนั้น หากคุณต้องการสุขภาพที่ดี เริ่มต้นจากการปรับพฤติกรรมการกินและเสริมพรีไบโอติกส์ในชีวิตประจำวันของคุณ! อ้างอิง

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้ห่างไกลออฟฟิศซินโดรมป้องกันออฟฟิศซินโดรมต้องอาศัยทั้งการปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน

หลักการ FITT: เคล็ดลับออกกำลังกายให้สุขภาพดีแบบยั่งยืน

การออกกำลังกายเป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลสุขภาพและเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย แต่การออกกำลังกายให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยนั้นต้องอาศัยหลักการที่ถูกต้อง หนึ่งในแนวทางสำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและฟิตเนสแนะนำคือ หลักการ FITT ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยให้การออกกำลังกายเกิดประโยชน์สูงสุด และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ หลักการ FITT คืออะไร? หลักการ FITT เป็นแนวทางที่ใช้กำหนดรูปแบบการออกกำลังกาย โดยประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่: วิธีออกกำลังกายที่ถูกต้อง การออกกำลังกายที่ถูกต้องควรคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงจากอาการบาดเจ็บ โดยสามารถปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้: 1. วอร์มอัพและคูลดาวน์ 2. เลือกประเภทของการออกกำลังกายให้เหมาะสม 3. รักษาระดับความหนักที่เหมาะสม 4. รักษาท่าทางที่ถูกต้อง 5. ให้ร่างกายได้พักผ่อน 6. ดื่มน้ำให้เพียงพอ 7. รับประทานอาหารที่เหมาะสม หลักการ FITT เป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และตอบโจทย์เป้าหมายด้านสุขภาพของแต่ละบุคคล การออกกำลังกายที่ถูกต้องควรเริ่มจากการวางแผนที่ดี ปรับความหนักให้เหมาะสม และฟังสัญญาณของร่างกายเสมอ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ อ้างอิง

อาหารคีโตคืออะไร? วิธีเริ่มต้นและประโยชน์ที่คุณต้องรู้!

อาหารคีโตเจนิคคืออะไร? อาหารคีโตเจนิค หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “คีโต” (Keto) เป็นรูปแบบการกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก แต่มีไขมันสูงและโปรตีนปานกลาง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ “คีโตซิส” (Ketosis) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ร่างกายเปลี่ยนแหล่งพลังงานจากน้ำตาลกลูโคสไปเป็นคีโตนที่สร้างจากไขมัน ทำไมต้องกินคีโต? การกินคีโตมีจุดมุ่งหมายหลักในการเปลี่ยนแปลงการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย โดยปกติแล้ว ร่างกายใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานหลัก แต่เมื่อเราลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตให้น้อยมาก ร่างกายจะหันมาใช้ไขมันแทน กระบวนการนี้ช่วยให้มีพลังงานที่เสถียรขึ้น ลดระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยลดไขมันสะสมในร่างกาย ประโยชน์ของอาหารคีโต อาหารที่ควรกินและควรหลีกเลี่ยงในคีโต อาหารที่ควรกิน: อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง: เคล็ดลับการเริ่มต้นกินคีโต อาหารคีโตเป็นวิธีการกินที่เน้นการลดคาร์โบไฮเดรตและเพิ่มไขมัน เพื่อให้ร่างกายใช้ไขมันเป็นพลังงานหลัก ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน เช่น ลดน้ำหนัก ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มพลังงาน และช่วยลดการอักเสบ การเริ่มต้นคีโตอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัว แต่หากทำอย่างถูกต้องสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลสุขภาพและลดน้ำหนักที่ยั่งยืน อาหารคีโตอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณ! อ้างอิง

ทำความรู้จักกับ ออฟฟิศซินโดรม

          ในยุคนี้ที่คนทำงานส่วนมากทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์แทบจะทั้งวัน ใครจะคาดคิดว่าพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้จะเป็นต้นเหตุของอาการปวดเรื้อรังที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็น ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาว มาทำความรู้จัก และปรับพฤติกรรมกันก่อนที่ร่างกายจะพัง ทำความรู้จักกับ ออฟฟิศซินโดรม คืออะไร ?          ออฟฟิศซินโดรมเป็นอาการที่เกิดจากการนั่งทำงานนาน ๆ โดยไม่มีการขยับตัว หรือเปลี่ยนท่าทางการทำงาน ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวเรื้อรัง และอาจมีอาการชา ปวด หรืออ่อนแรงร่วมด้วย โดยอาการมักเกิดขึ้นบริเวณ คอ บ่า ไหล่ หลัง แขน และข้อมือ หากปล่อยไว้นานอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น ไมเกรน ปวดตา หรือแม้กระทั่งปัญหาทางระบบประสาท การนั่งนาน ๆ ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด          การนั่งโดยไม่ได้ขยับร่างกายเป็นเวลานาน ๆ ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมาย มีอะไรบ้าง มาดูกัน 1. หากสะสมมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน –> จะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด 147% 2. หากสะสมมากกว่า … Read more

การออกกำลังกายแบบ VILPA วิธีง่ายๆ ในการเพิ่มสุขภาพโดยไม่ต้องใช้เวลาเยอะ

VILPA คืออะไร? VILPA ย่อมาจาก Vigorous Intermittent Lifestyle Physical Activity หรือแปลเป็นไทยว่า กิจกรรมทางกายแบบหนักสั้น ๆ ที่แทรกในชีวิตประจำวัน เป็นแนวคิดที่ช่วยให้เราสามารถออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องใช้เวลาเยอะ เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาว่างไปออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น คนทำงานออฟฟิศ หรือผู้ที่มีภารกิจมากมายในแต่ละวัน หลักการของ VILPA หลักสำคัญของ VILPA คือ การทำกิจกรรมที่ใช้แรงหนักปานกลางถึงหนักมากในช่วงเวลาสั้น ๆ (ประมาณ 30 วินาทีถึง 2 นาที) โดยไม่จำเป็นต้องใช้สถานที่เฉพาะ เช่น ฟิตเนส หรือสนามกีฬา แต่เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำ ตัวอย่างกิจกรรม VILPA ที่คุณสามารถทำได้ กิจกรรมในชีวิตประจำวัน กิจกรรมในที่ทำงาน กิจกรรมกลางแจ้ง วิธีเริ่มต้นทำ VILPA ให้ได้ผล ประโยชน์ของ VILPA ต่อสุขภาพ 1. ช่วยเพิ่มสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด VILPA ช่วยให้หัวใจและปอดทำงานดีขึ้น ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเบาหวานประเภท 2 … Read more

ทำความรู้จัก Heart Rate Zone เคล็ด (ไม่) ลับการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ

          Heart Rate Zone คือช่วงระดับการเต้นของหัวใจระหว่างออกกำลังกาย ซึ่งแบ่งตามเปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ (Maximum Heart Rate: MHR) โดยหากเรารู้ค่า MHR จะช่วยให้สามารถกำหนดเป้าหมาย ประเมินความเหมาะสม และเลือกวิธีออกกำลังกายที่เหมาะกับตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีคำนวณ อัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ (MHR)          สามารถหาค่าได้จากสูตร อัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ (MHR) = 220 – อายุ           ตัวอย่าง เช่น หากคุณอายุ 28 ปี → MHR = 220 – 28 = 192 ครั้งต่อนาที          และเมื่อทราบค่าของ MHR แล้ว คุณจะก็จะสามารถแบ่งระดับการออกกำลังกายตามอัตราการเต้นของหัวใจออกเป็น 5 โซนหลัก ได้ดังนี้ โซน 1 Warm-Up Zone (50% ของ MHR)          เป็นการออกกำลังกายเบื้องต้นที่ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต โดยหัวใจเต้นอยู่ที่ 50-60% ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ (MHR) เหมาะสำหรับกิจกรรมเบา … Read more